ความคิดเห็นที่ 1 พึงให้ทานเพื่อลบล้างผลแห่งกรรมชั่วนั้น............... จากคุณ : ไม่สูบไม่ดื่ม - [ 22 ก.ย. 50 22:45:40 ]

ความคิดเห็นที่ 2 :) จากคุณ : mammord072 - [ 22 ก.ย. 50 22:52:16 ]

ความคิดเห็นที่ 3 "เล่นกระทู้ ห้องศาสนา อย่าให้ร้อนใจ" โดยพี่หมอจักรแก้ว ไม่ร้อนจ้า แต่ตอนนี้ทะเลาะกันเต็มกระทู้แล้วจ้า ฮ่าๆๆๆ จากคุณ : ลูกพระธัมฯ หลานคุณยาย - [ 22 ก.ย. 50 23:32:49 ]

ความคิดเห็นที่ 4 กระทำการผิดศีล ล่วงล้ำอกุศลกรรมบทสิบ เป็นเหตุให้การปฎิบัติไม่ก้าวหน้า ซึ่งเป็นผลมาจากศีลขาดบ้าง ด่างพร้อยบ้าง จริงของไม่สูบไม่ดื่ม .. สาธุ... แก้ไขเมื่อ 23 ก.ย. 50 03:12:07 จากคุณ : อินทรีย์คิ้วขาว - [ 23 ก.ย. 50 00:01:31 ]

ความคิดเห็นที่ 5 ตอนนี้หมั่นไส้ นายลูกพระธัมฯ แทนแล้ว โฆษณาเก่งเหลือเกิน .. มันเอียน.. จากคุณ : อินทรีย์คิ้วขาว - [ 23 ก.ย. 50 00:05:45 ]

ความคิดเห็นที่ 6 ต้องขอโทษพี่จักรแก้ว ที่ไปทำกระทู้พี่เค้าซะเละเรย  แต่ทำไงได้ ตอนนี้ผมโพสได้แต่เฉพาะความเห็นและภาพที่ล่อเป้า  ถ้าเรื่องไหนไม่ล่อเป้า โดนตามลบหมด เช่น ความเห็นนี้..... จากคุณ : ลูกพระธัมฯ หลานคุณยาย - [ 23 ก.ย. 50 02:02:48 ]

ความคิดเห็นที่ 7 พอโพสเข้าไปใหม่ก็โดนอีกรอบ อย่างนี้... จากคุณ : ลูกพระธัมฯ หลานคุณยาย - [ 23 ก.ย. 50 02:10:36 ]

ความคิดเห็นที่ 8 คนนี้ก็โดนด้วย.... จากคุณ : ลูกพระธัมฯ หลานคุณยาย - [ 23 ก.ย. 50 02:55:06 ]

ความคิดเห็นที่ 9 สาธุ หามาได้ดีมาก อนุโมทนานะครับ ผมไม่เคยอ่านมาก่อน ขอบคุณมาก     ในเนื้อหา เขาละ..... คำหลังจากคำว่าทาน.....ไว้ ความจริงก็ไม่ใช่ทานอย่างเดียวนะครับ      แต่เป็น....จึงให้ทาน สมาทานศีล กระทำอุโบสถกรรม ยังฌานให้เกิดขึ้น ยังวิปัสสนาให้เกิดขึ้น ยังมรรคให้เกิดขึ้น ยังอภิญญาให้เกิดขึ้น ยังสมาบัติให้เกิดขึ้น จึงจะลบล้างได้ครับ      เว้นแต่เป็นกรรมหนัก ท่านจะใช้คำว่า จึงให้ทาน สมาทานศีล กระทำอุโบสถกรรม เพราะจะได้แค่นี้น่าจะไม่มีมรรคกระมัง ศึกษาได้ที่นี่ครับ ๕๕๑] อกุศลธรรม เป็นปัจจัยแก่กุศลธรรม โดยอุปนิสสยปัจจัย             มีอย่างเดียว คือ ปกตูปนิสสยะ ได้แก่บุคคลอาศัยราคะแล้วให้ทาน สมาทานศีล กระทำอุโบสถกรรม ยังฌานให้เกิดขึ้น ยังวิปัสสนาให้เกิดขึ้น ยังมรรคให้เกิดขึ้น ยังอภิญญา- *ให้เกิดขึ้น ยังสมาบัติให้เกิดขึ้น             บุคคลอาศัยโทสะ โมหะ มานะ ทิฏฐิ ความปรารถนาแล้วให้ทาน สมาทานศีล กระทำอุโบสถกรรม ยังฌานให้เกิดขึ้น ยังวิปัสสนาให้เกิดขึ้น ยังมรรคให้เกิดขึ้น ยังอภิญญา ให้เกิดขึ้น ยังสมาบัติให้เกิดขึ้น             ราคะโทสะ โมหะ มานะ ทิฏฐิ ความปรารถนา เป็นปัจจัยแก่ศรัทธา ศีล สุตะ จาคะ ปัญญา โดยอุปนิสสยปัจจัย             บุคคลฆ่าสัตว์ เพื่อจะลบล้างผลแห่งปาณาติบาตนั้น จึงให้ทาน สมาทานศีล กระทำ อุโบสถกรรม ยังฌานให้เกิดขึ้น ยังวิปัสสนาให้เกิดขึ้น ยังมรรคให้เกิดขึ้น ยังอภิญญาให้เกิดขึ้น ยังสมาบัติให้เกิดขึ้น             บุคคลถือเอาสิ่งของที่เจ้าของไม่ได้ให้แล้ว เพื่อจะลบล้างผลของอทินนาทานนั้น จึงให้ ทาน ฯลฯ ยังสมาบัติให้เกิดขึ้น             บุคคลกล่าวเท็จแล้ว เพื่อจะลบล้างผลของมุสาวาทนั้น จึงให้ทาน ฯลฯ ยังสมาบัติให้ เกิดขึ้น             บุคคลกล่าวคำส่อเสียดแล้ว เพื่อจะลบล้างผลของปิสุณาวาจานั้น จึงให้ทาน ฯลฯ ยังสมาบัติให้ เกิดขึ้น             บุคคลคำหยาบแล้ว เพื่อจะลบล้างผลของผรุสวาทนั้น จึงให้ทาน ฯลฯ ยังสมาบัติให้ เกิดขึ้น             บุคคลกล่าวคำเพ้อเจ้อแล้ว เพื่อจะลบล้างผลสัมผัปปลาปะนั้น จึงให้ทาน ฯลฯ ยัง- *สมาบัติให้ เกิดขึ้น             บุคคลตัดที่ต่อแล้ว เพื่อจะลบล้างผลของกรรมนั้น จึงให้ทาน ฯลฯ ยังสมาบัติให้ เกิดขึ้น             บุคคลปล้นไม่ให้เหลือแล้ว เพื่อจะลบล้างผลของกรรมนั้น จึงให้ทาน ฯลฯ ยังสมาบัติให้ เกิดขึ้น             บุคคลทำการปล้นในเรือนหลังหนึ่งแล้ว เพื่อจะลบล้างผลของกรรมนั้น จึงให้ทาน ฯลฯ ยังสมาบัติให้ เกิดขึ้น             บุคคลคอยดักอยู่ในทางเปลี่ยวแล้ว เพื่อจะลบล้างผลของกรรมนั้น จึงให้ทาน ฯลฯ ยังสมาบัติให้ เกิดขึ้น             บุคคลคบหาทาระของชายอื่นแล้ว เพื่อจะลบล้างผลกรรมนั้น จึงให้ทาน ฯลฯ ยัง- *สมาบัติให้ เกิดขึ้น             บุคคลกระทำการฆ่าชาวบ้านแล้ว เพื่อจะลบล้างผลของกรรมนั้น จึงให้ทาน ฯลฯ ยังสมาบัติให้ เกิดขึ้น             บุคคลฆ่าชาวนิคมแล้ว เพื่อจะลบล้างผลของกรรมนั้น จึงให้ทาน สมาทานศีล กระทำ อุโบลถกรรม ยังฌานให้เกิดขึ้น ยังวิปัสสนาให้เกิดขึ้น ยังมรรคให้เกิดขึ้น ยังสมาบัติให้ เกิดขึ้น             บุคคลฆ่ามารดาแล้ว เพื่อจะลบล้างผลของมาตุฆาตนั้น จึงให้ทาน สมาทานศีล กระทำอุโบสถกรรม             บุคคลฆ่าบิดาแล้ว เพื่อจะลบล้างผลของปิตุฆาตนั้น จึงให้ทาน สมาทานศีล กระทำ อุโบสถกรรม             บุคคลฆ่าพระอรหันต์แล้ว เพื่อจะลบล้างผลของอรหันตฆาตนั้น จึงให้ทาน สมาทานศีล กระทำอุโบสถกรรม             บุคคลยังโลหิตพระตถาคตให้ห้อด้วยจิตประทุษร้ายแล้ว เพื่อจะลบล้างผลของโลหิตุป- *บาทนั้น จึงให้ทาน สมาทานศีล กระทำอุโบสถกรรม             บุคคลทำลายสงฆ์ให้แตกกันแล้ว เพื่อจะลบล้างผลของสังฆเภทนั้น  จึงให้ทานศีล สมาทานศีล กระทำอุโบสถกรรม เนื้อความพระไตรปิฎก เล่มที่ ๔๐  บรรทัดที่ ๕๘๐๕ - ๖๗๗๒.  หน้าที่  ๒๒๗ - ๒๖๕. http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=40&A=5805&Z=6772&pagebreak=0 ขอให้เจริญในธรรมนะครับ จากคุณ : จักรแก้ว - [ 23 ก.ย. 50 03:02:07 ]

ความคิดเห็นที่ 10 สาธุครับ  เป็นธรรมะที่ผมไม่เคยทราบมาก่อน  ขอบคุณมากครับ จากคุณ : rxkku - [ 23 ก.ย. 50 07:05:04 ]

ความคิดเห็นที่ 11 **** โลก คือ หมู่สัตว์อันความชรา นำเข้าสู่ความเจ็บไข้ นำเข้าสู่ความตายตลอดเวลา ไม่มียั่งยืน โลก คือ หมู่สัตว์ ไม่มีผู้ป้องกัน ไม่เป็นใหญ่เฉพาะตน โลก คือ หมู่สัตว์ ไม่มีอะไรเป็นของๆตน จะต้องละทิ้งสิ่งทั้งปวงไป โลก คือ หมู่สัตว์ ที่พร่องอยู่เป็นนิจ ไม่รู้จักอิ่ม เป็นทาสแห่งตัณหา ( จากพระธรรมบท---จากความจำ ) -------------------------------------- โลก คือ หมู่สัตว์ อันอวิชชา คือ ความไม่รู้แจ้ง ปิดบังไว้แล้ว จึงหลงดุจอยู่ในที่มืด เพราะความอยากมีประการต่างๆ และความประมาทเลินเล่อ จึงไม่มีปัญญาเห็นปรากฏ เรากล่าวว่า ความอยากเป็นเครื่องฉาบไล้สัตว์โลกให้ติดอยู่ และกล่าวว่าทุกข์เป็นภัยใหญ่ของสัตว์โลกนั้น (จากหนังสืออนุพุทธประวัติ---ประวัติแห่งพระโมฆราช) -------------------------------------- ปล. หมู่สัตว์=ผู้ติดข้องในอารมณ์ จากคุณ : หนูเล็กนิดเดียว - [ 23 ก.ย. 50 07:20:38 ]

ความคิดเห็นที่ 12 บุคคลฆ่าสัตว์ เพื่อจะลบล้างผลแห่งปาณาติบาตนั้น จึงให้ทาน สมาทานศีล กระทำ อุโบสถกรรม ยังฌานให้เกิดขึ้น ยังวิปัสสนาให้เกิดขึ้น ยังมรรคให้เกิดขึ้น ยังอภิญญาให้เกิดขึ้น ยังสมาบัติให้เกิดขึ้น             บุคคลถือเอาสิ่งของที่เจ้าของไม่ได้ให้แล้ว เพื่อจะลบล้างผลของอทินนาทานนั้น จึงให้ ทาน ฯลฯ ยังสมาบัติให้เกิดขึ้น             บุคคลกล่าวเท็จแล้ว เพื่อจะลบล้างผลของมุสาวาทนั้น จึงให้ทาน ฯลฯ ยังสมาบัติให้ เกิดขึ้น ________________________________________________________________ ขอให้ยกมาเต็มๆจะดีกว่า ใน ฯลฯ มีข้อความอยู่อีกมาก เฉพาะทานไม่อาจลบล้างผลของกรรมชั่วได้ จากที่ยกมาท่านกล่าวไปถึงการทำครุกรรม อันจะส่้งผลก่้อนกรรมอื่นๆ เช่น มรรค ผล และฌานสมาบัติ ผลของครุกรรมจึงผลัดผลของกรรมชั่วอื่นๆไปก่อนได้ เฉพาะทาน โดยเฉพาะอามิสทาน ไม่ส่งผลให้ลบกรรมชั่วได้ จากคุณ : หลังเขา - [ 23 ก.ย. 50 10:10:30 ]

ความคิดเห็นที่ 13 เพิ่มเติม กรรมทั่วๆไปไม่อาจลบล้างผลซึ่งกันและกันได้ ไม่ว่าจะเป็นกรรมดีหรือกรรมชั่วก็ตาม ต่างกันเพียงเวลาที่กรรมจะส่งผล กรรมที่ตัดผลของกรรมอื่นๆได้ มีเพียงมรรคและผลเท่านั้น เพราะมรรคและผลตัดภพตัดชาติ กรรมที่ยังส่งผลอยู่จะส่งผลเท่าที่ยังเหลือภพอยู่ เมื่อภพขาดกรรมที่รอส่งผลในภพถัดๆไปจึงขาดไปด้วย ทานไม่ใช่กรรมที่ลบล้างผลของกรรมอื่น จากคุณ : หลังเขา - [ 23 ก.ย. 50 10:18:14 ]

ความคิดเห็นที่ 14 สุดท้าย พระไตรปิฎกประกอบด้วย พระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก และพระอภิธรรมปิฎก พระสูตรหมายถึงพระสุตตันตปิฎกเท่านั้น จากคุณ : หลังเขา - [ 23 ก.ย. 50 10:23:23 ]

ความคิดเห็นที่ 15 คุณครับ ผมยกพระบาลีมา คุณจะเห็นต่างก็ตามสบายนะครับ เพราะท่านระบุไว้ชัดเจนแล้ว จากคุณ : ไม่สูบไม่ดื่ม - [ 23 ก.ย. 50 10:45:06 ]

ความคิดเห็นที่ 16 หึหึหึหึหึหึ เพราะท่านระบุไว้ชัดเจนแล้ว จากคุณ : Ritti Janson - [ 23 ก.ย. 50 11:06:30 ]

ความคิดเห็นที่ 17 จริงครับท่านระบุไว้ชัดเจนแล้ว ว่า "บุคคลฆ่าสัตว์ เพื่อจะลบล้างผลแห่งปาณาติบาตนั้น จึงให้ทาน สมาทานศีล กระทำ อุโบสถกรรม ยังฌานให้เกิดขึ้น ยังวิปัสสนาให้เกิดขึ้น ยังมรรคให้เกิดขึ้น ยังอภิญญาให้เกิดขึ้น ยังสมาบัติให้เกิดขึ้น" ไม่ใช่แค่ให้ทาน จากคุณ : หลังเขา - [ 23 ก.ย. 50 11:33:02 ]

ความคิดเห็นที่ 18 เฮ้อ.............. มันเฉพาะกรรมหนักอย่างฆ่าหมู่ หรือ อนันตริยกรรมน่ะครับ จากคุณ : ไม่สูบไม่ดื่ม - [ 23 ก.ย. 50 11:56:01 ]

ความคิดเห็นที่ 19 เอาเถอะครับ คนปกติที่อ่านภาษาไทยเข้าใจ ย่อมเห็นได้เองว่้าการที่ท่านใช้ ฯลฯ ขั้นกลางในประโยคถัดๆมาแสดงถึงว่า มีข้อความอีกมากอยู่ระหว่างนั้น และข้อความเหล่านั้นจะเป็นอื่นไปไม่ได้นอกจากข้อความซ้ำกันกับประโยคก่อนหน้า ไม่เช่นนั้นจะไม่มีใครเข้าใจได้ว่า ฯลฯ หมายถึงข้อความอะไร ดังนั้น ถ้าอ่านให้ดีจะเห็นว่า ท่านหมายถึงบุคคลที่ทำกรรมชั่วทุกประเภท เมื่อมีความต้องการลบล้างกรรมนั้นจึงได้ทำกรรมดี ตั้งแต่ให้ทานไปจนถึงปฏิบัติภาวนา ซึ่งเมื่อไปถึงขนาดทำอนันตริยกรรม ท่านกล่าวไว้เพียงทำทานถือศีล ไม่กล่าวถึงมรรคผล เพราะผู้ทำอนันตริยกรรมห้ามมรรคห้ามผล ลองพิจารณาดูเถอะ ศึกษาให้มากอีกนิดก็จะหลุดจากมิจฉาทิฎฐิได้ จากคุณ : หลังเขา - [ 23 ก.ย. 50 15:25:14 ]

ความคิดเห็นที่ 20 พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๑ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๓ อังคุตตรนิกาย จตุกกนิบาต กรรมวรรคที่ ๔             [๒๓๒] ดูกรภิกษุทั้งหลาย กรรม ๔ ประการนี้ เรากระทำให้แจ้งด้วย ปัญญาอันยิ่งเองแล้วประกาศให้ทราบ กรรม ๔ ประการเป็นไฉน คือ กรรมดำ มีวิบากดำก็มี กรรมขาวมีวิบากขาวก็มี กรรมทั้งดำทั้งขาวมีวิบากทั้งดำทั้งขาวก็มี กรรมไม่ดำไม่ขาวมีวิบากไม่ดำไม่ขาว ย่อมเป็นไปเพื่อความสิ้นกรรมก็มี ดูกรภิกษุ ทั้งหลาย กรรม ๔ ประการนี้แล เรากระทำให้แจ้งด้วยปัญญาอันยิ่งเองแล้ว ประกาศให้ทราบ ฯ             [๒๓๓] ดูกรภิกษุทั้งหลาย กรรม ๔ ประการนี้ เรากระทำให้แจ้งด้วย ปัญญาอันยิ่งเองแล้วประกาศให้ทราบ กรรม ๔ ประการเป็นไฉน คือ กรรมดำ มีวิบากดำก็มี กรรมขาวมีวิบากขาวก็มี กรรมทั้งดำทั้งขาวมีวิบากทั้งดำทั้งขาวก็มี กรรมไม่ดำไม่ขาวมีวิบากไม่ดำไม่ขาว ย่อมเป็นไปเพื่อความสิ้นกรรมก็มี ฯ             ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็กรรมดำมีวิบากดำเป็นไฉน บุคคลบางคนในโลกนี้ ย่อมปรุงแต่งกายสังขารอันมีความเบียดเบียน ย่อมปรุงแต่งวจีสังขารอันมีความ เบียดเบียน ย่อมปรุงแต่งมโนสังขารอันมีความเบียดเบียน ครั้นแล้วย่อมเข้าถึง โลกที่มีความเบียดเบียน ผัสสะอันมีความเบียดเบียนย่อมถูกต้องบุคคลนั้น ผู้เข้า ถึงโลกที่มีความเบียดเบียน เขาอันผัสสะที่มีความเบียดเบียนถูกต้องแล้ว ย่อม ได้เสวยเวทนาที่มีความเบียดเบียน เป็นทุกข์โดยส่วนเดียว เปรียบเหมือนสัตว์ นรก นี้เราเรียกว่ากรรมดำมีวิบากดำ ฯ             ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็กรรมขาวมีวิบากขาวเป็นไฉน บุคคลบางคนในโลกนี้ ย่อมปรุงแต่งกายสังขาร...วจีสังขาร...มโนสังขารอันไม่มีความเบียดเบียน ครั้น แล้วย่อมเข้าถึงโลกที่ไม่มีความเบียดเบียน ผัสสะอันไม่มีความเบียดเบียนย่อม ถูกต้องบุคคลนั้น ผู้เข้าถึงโลกที่ไม่มีความเบียดเบียน เขาอันผัสสะที่ไม่มีความ เบียดเบียนถูกต้องแล้ว ย่อมได้เสวยเวทนาอันไม่มีความเบียดเบียน เป็นสุข โดยส่วนเดียว เปรียบเหมือนเทพชั้นสุภกิณหะ นี้เราเรียกว่ากรรมขาวมีวิบาก ขาว ฯ             ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็กรรมทั้งดำทั้งขาวมีวิบากทั้งดำทั้งขาวเป็นไฉน บุคคล บางคนในโลกนี้ ย่อมปรุงแต่งกายสังขาร...วจีสังขาร...มโนสังขารอันมีความ เบียดเบียนบ้าง ไม่มีความเบียดเบียนบ้าง ครั้นแล้วย่อมเข้าถึงโลกที่มีความ เบียดเบียนบ้าง ไม่มีความเบียดเบียนบ้าง ผัสสะอันมีความเบียดเบียนบ้าง ไม่มีความเบียดเบียนบ้าง ย่อมถูกต้องบุคคลนั้น ผู้เข้าถึงโลกที่มีความเบียดเบียน บ้าง ไม่มีความเบียดเบียนบ้าง เขาอันผัสสะที่มีความเบียดเบียนบ้าง ไม่มีความ เบียดเบียนบ้างถูกต้องแล้ว ย่อมได้เสวยเวทนาอันมีความเบียดเบียนบ้าง ไม่มี ความเบียดเบียนบ้าง มีทั้งสุขและทั้งทุกข์ระคนกัน เปรียบเหมือนมนุษย์ เทพ บางพวก และวินิปาติกสัตว์บางพวก นี้เราเรียกว่ากรรมทั้งดำทั้งขาว มีวิบาก ทั้งดำทั้งขาว ฯ             ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็กรรมไม่ดำไม่ขาวมีวิบากไม่ดำไม่ขาวย่อมเป็นไปเพื่อ ความสิ้นกรรมเป็นไฉน เจตนาใดเพื่อละกรรมดำอันมีวิบากดำในบรรดากรรม เหล่านั้นก็ดี เจตนาใดเพื่อละกรรมขาวอันมีวิบากขาวก็ดี เจตนาใดเพื่อละกรรม ทั้งดำทั้งขาวมีวิบากทั้งดำทั้งขาวก็ดี นี้เราเรียกว่ากรรมไม่ดำไม่ขาว มีวิบากไม่ดำ ไม่ขาว ย่อมเป็นไปเพื่อความสิ้นกรรม ดูกรภิกษุทั้งหลาย กรรม ๔ ประการนี้แล เรากระทำให้แจ้งด้วยปัญญาอันยิ่งเองแล้วประกาศให้ทราบ ฯ http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/sutta_line.php?B=21&A=6195 _________________________________________________________________ อ่านดูดีๆนะว่าพระพุทธองค์จำแนกกรรมไว้อย่างไร ทานเป็นกรรมประเภทกรรมขาวให้ผลเป็นวิบากขาว แต่ไม่ได้ตัดกรรมดำที่มีวิบากดำ กรรมที่ตัดกรรมอื่นทั้งดำทั้งขาว พระพุทธองค์ท่านหมายถึงอะไร อ่านดูนะ จากคุณ : หลังเขา - [ 23 ก.ย. 50 15:35:52 ]

ความคิดเห็นที่ 21 เฮ้อ.... จากคุณ : ไม่สูบไม่ดื่ม - [ 23 ก.ย. 50 22:21:07 ]

ความคิดเห็นที่ 22 เข้ามาเสริมให้ไม่สูบ ไม่ได้จะจองเวรไม่สูบแต่อย่างใด เข้าใจเจตนาดีของไม่สูบด้วยซ้ำไปที่นำเสนอกระทู้นี้ แต่ความเห็นไม่สูบนั้นไม่เป็นธรรมไม่เป็นวินัยในพระพุทธศาสนา และหากมีคนเชื่อตามผลเสียจะตกกับไม่สูบเอง ยกตัวอย่างง่ายๆว่า หากมีคนเชื่อว่าการทำทานโดยเฉพาะอามิสทาน ทำให้ลบล้างผลของกรรมชั่วที่เคยทำมาได้ ผลก็คือศาสนาที่สอนแบบที่ไม่สูบเชื่อจะกลายเป็นศาสนาเฉพาะของคนรวยและคนเลว คนเลวจะได้ช่องทำความชั่วได้เต็มที่ ทำอย่างไรก็ได้เพื่อให้ได้เงิน เสร็จแล้วจึงนำเงินนั้นไปซื้อความถูกต้องชอบธรรมที่เรียกว่าการทำทาน เนื่องจากผลของเงินมันสามารถลบล้างผลของการทำความชั่วได้ พระพุทธเจ้าทั้งหลายไ่ม่สอนแบบนี้ กรรมใดๆไม่ว่าดีหรือชั่วย่อมส่งผลของตัวมันเอง เหมือนปลูกมะม่วงย่อมได้ผลมะม่วง ไม่มีทางได้แตงกวาหรือมังคุด แต่ถ้าปลูกหลายต้น ต้นที่โตเ็ร็วย่อมออกผลก่อน ศึกษาเรื่องกรรมดีๆอีกนิด เกือบจะหลุดจากมิจฉาทิฏฐิได้อยู่แล้ว จากคุณ : หลังเขา - [ 23 ก.ย. 50 22:34:18 ]

ความคิดเห็นที่ 23 เข้ามาเสริมให้ไม่สูบ ไม่ได้จะจองเวรไม่สูบแต่อย่างใด เข้าใจเจตนาดีของไม่สูบด้วยซ้ำไปที่นำเสนอกระทู้นี้ แต่ความเห็นไม่สูบนั้นไม่เป็นธรรมไม่เป็นวินัยในพระพุทธศาสนา และหากมีคนเชื่อตามผลเสียจะตกกับไม่สูบเอง ++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++ คุณครับ ความเห็นที่ผมยกมานั้นไม่ได้แสดงเอง อย่าเข้าใจผิด ผมยกพระบาลีมา คุณคงต้องไปถกกับท่านเอง ผมเอามาให้ดูเฉยๆ อย่าได้กล่าวถึงผมว่าไม่เป็นธรรม ผมนำธรรมมะของพระพุทธเจ้ามา ก็เท่านั้น ปล. คุณคงเข้าใจผิดคิดว่าทานนั้นทำได้แต่คนรวย จริงๆแล้วท่านสอนหมด คนจนก็ทำทานได้ครับ จากคุณ : ไม่สูบไม่ดื่ม - [ 23 ก.ย. 50 23:29:32 ]

ความคิดเห็นที่ 24 หึหึ ขอแก้เป็นสงสัยจะอีกนาน ผมไม่มีอะไรต้องถกกับพระไตรปิฎกครับ ผมเห็นว่าตรงกันดี ไม่ว่าจะบทที่คุณยกมาหรือผมยกมาล้วนไปทางเดียวกัน แต่ผมกับคุณอ่านแล้วเข้าใจไม่ตรงกัน แปลว่าไม่คุณก็ผมนี่แหละครับที่เป็นมิจฉาทิฏฐิ มิจฉาทิฏฐิธรรมดาหากไม่แก้ นานไปจะเป็นปัจจัยสู่นิยตมิจฉาทิฏฐิ ทั้งคุณทั้งผมก็พึงสังวรว่าถ้ายังเป็นปุถุชน ย่อมยังอาจมีทิฏฐิไม่สมบูรณ์ อาจมีบางเรื่องที่เป็นทิฏฐิที่ผิด คิดเห็นอย่างไรสอบทานกับพระไตรปิฎกให้ดี ถ้าตรงบางบทไม่ตรงบางบทพึงรู้ไว้ว่ายังเข้าใจไม่ถูก เพราะพระธรรมกลืนกันเป็นเนื้อเดียว ขอให้ธรรมทานนี้เป็นปัจจัยแก่ผู้หลงในมิจฉาทิฏฐิได้พบทางออกมาสู่สัมมาทิฏฐิด้วยเทอญ จากคุณ : หลังเขา - [ 23 ก.ย. 50 23:43:37 ]

ความคิดเห็นที่ 25 ขอให้ธรรมทานนี้เป็นปัจจัยแก่ผู้หลงในมิจฉาทิฏฐิได้พบทางออกมาสู่สัมมาทิฏฐิด้วยเทอญ จากคุณ : หลังเขา   - [ 23 ก.ย. 50 23:43:37 ] +++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++ ครับ เช่นกันครับ สาธุ จากคุณ : ไม่สูบไม่ดื่ม - [ 24 ก.ย. 50 13:02:04 ]