ความคิดเห็นที่ 1 พิธีเบิกเนตรพระพุทธรูป มันคล้ายๆกับการปลุกเศกอะไรทำนองนั้นน่ะครับ เป็นพิธีที่ผมเองไม่ชอบเอาซะเลย เขาบอกว่า เด๋วพระพุทธรุปมองไม่เห็น ปัดโธ่เอ้ย มันกงการอะไรของปุถุชนอย่างเรา พระพุทธเจ้าตรัสรู้ เป็นผู้ตื่นแล้ว เรายังเป็นผู้หลับ จะไปปลุกพระองค์ ไปเบิกเนตรทำไม พระคุณเจ้าที่ยังทำแบบนี้อยู่ น่าจะเลิกซะที มันไม่สมควร จากคุณ : p.p_upasmo - [ 14 มิ.ย. 47 20:46:10 ]

ความคิดเห็นที่ 2 แต่เดิมเป็นประเพณีฝ่ายมหายานครับ ในธิเบตก็ยังทำอยู่ เข้าใจว่าฝ่ายเถรวาทเห็นจะรับมาภายหลัง จากคุณ : ออแสน - [ 15 มิ.ย. 47 06:54:40 A:202.57.180.63 X: ]

ความคิดเห็นที่ 3 ถ้าทำแล้วทำให้สังคม สงบสุข ก็ไม่เป็นไรมั้ง เพียงแต่อย่าทิ้งหลักการสำคัญไปก็แล้วกัน อย่าลืมว่าคนมีบัวหลายเหล่านะครับ ถ้าไม่มีเปลือก แก่นก็ตายไปนานแล้วหล่ะ แต่ก็เป็นธรรมดาโลกเราอีกแหละ นาน ๆ เข้าเปลือกก็กินแก่นหมดต้องปลงแล้วหล่ะ สำคัญเอาตัวเราให้รอดปลอดภัยก่อนดีกว่านะผมว่า จากคุณ : ดีวีดี (สุธี) - [ 15 มิ.ย. 47 12:20:09 ]

ความคิดเห็นที่ 4 แต่ฟังแล้วแปลกๆ ครับ เพราะบางทีชอบไพล่แปลว่า "แหกตา" หรือ "หลอกลวง" เสียนี่ จากคุณ : หึหึ - [ 15 มิ.ย. 47 19:28:27 A:202.176.166.186 X: ]

ความคิดเห็นที่ 5 เห็นด้วยกะคห.1ไม่ชอบเอาซะเลย จากคุณ : กุหลาบจามูร์ - [ 16 มิ.ย. 47 08:59:51 ]

ความคิดเห็นที่ 6 หากมองในแง่ดี มันก็มีประโยชน์นะครับ ความไม่ชอบ...มาจากความรำคาญขั้นตอนที่ยุ่งยากหรือเปล่า? ได้ยินมาว่า การเบิกเนตรพระพุทธรูปนั้นจะกระทำกันก็ต่อเมื่อได้ตกแต่งพระพุทธปฏิมาที่จะนำมาให้คนกราบไหว้บูชานั้นเรียบร้อยแล้ว จึงต้องประกอบพิธีให้ศาสนิกชนรู้สึกว่าพระพุทธรูปนั้นมีความศักดิ์สิทธิ์สมควรแก่การกราบไหว้บูชา พิธีการก็ไม่น่ายาก วันเดียวก็เห็นทีจะแล้ว แรกทีเดียวก็หาฤกษ์หายามกันเสียก่อน ต่อมาก็ทำความสะอาดพระพุทธรูป ขัดสีให้ฉวีวรรณผ่องใส ตั้งในมณฑลพิธี ซึ่งอาจเป็นพระอุโบสถหรือการเปรียญของวัด มีบนแท่นในล้อมรั้วราชวัตรฉัตรธง (ในกรณีที่มิได้เป็นพระประธานของที่แห่งนั้นอันได้ประดิษฐานบนชุกชีอยู่แล้ว) นำสีผึ้งมาปิดพระเนตร หรือนำผ้าขาวมาคลุมพระเศียร หมายว่าเป็นคนดิบมาก่อน เมื่อถึงฤกษ์ก็ทำพิธีกันไป โดยมีการเจริญพระพุทธมนต์ต่างๆอันเนื่องด้วยการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า (ในตำราบทสวดพุทธาภิเษกคงจะมีรายละเอียดให้ตามร้านขายสังฆภัณฑ์ใหญ่ๆ คงมีขาย แต่ผมเคยเห็นในร้านหนังสือของมหาจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัย ท่าพระจันทร์อยู่เหมือนกัน เป็นหนังสือพิมพ์อย่างสมุดไทยเล่มเขื่องเอาเรื่องเหมือนกัน) เมื่อสวดไปถึงระยะที่บอกว่าพระพุทธเจ้าทรงบรรลุพระอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณเมื่อใด ประธานสงฆ์ก็จะเลิกผ้าขาว และแกะเอาสีผึ้งนั้นออก บางแห่งจะถวายเจิมพระเนตรด้วย แล้วก็สวดต่อกันไปจนเสร็จสิ้นพิธี แล้วจึงฉลองพระใหม่กันต่อไป จะว่าไปแล้วเรื่องเบิกเนตรกับบวชพระก็มีสาระคล้ายๆกัน การบวชนั้นทำให้ลูกชาวบ้านที่ปลงผมปลงคิ้วห่มเหลือง กลายเป็นพระภิกษุ ควรแก่การเคารพเป็นสังฆานุสสติ ขณะทึ่การเบิกเนตรพระพุทธรูปนั้นก็คือการทำให้รูปหล่อรูปปั้นกลายเป็นพระพุทธรูปที่พึงกราบไหว้บูชาเป็นพุทธานุสสติ และการสืบทอดพิธีกรรมอย่างเข้าใจถึงมูลเหตุและนัยยะของพิธีกรรมนั้นก็เป็นเรื่องที่ดีสำหรับคนรุ่นหลังมิใชหรือครับ อย่าปล่อยให้ความรำคาญมาขัดขวางการเรียนรู้เลยนะครับ จากคุณ : หวานละมุน - [ 16 มิ.ย. 47 14:58:19 ]

ความคิดเห็นที่ 7 อืมม คุณหวานละมุนพูดเข้าท่านะ อย่างผม เข้าศึกษาและปฏิบัติธรรมมะนะครับ แต่ตะก่อนก่อนหน้านี้มีแรงบรรดาลใจในการศึกษาธรรม ตลกมากครับ คือตะก่อนมีหนังเรื่องตี๋ใหญ่ จำได้ไหมครับ ตามท้องเรื่องตัวตี๋ใหญ่ จะหนีตำรวจพอจวนตัวจะว่าคาถาอาคมให้หายตัวได้ ผมเองก็ชอบหนีโรงเรียนด้วยความบ้า ก็ไปหาคาถามาท่อง จะได้หายตัวได้ เพื่อหนีโรงเรียนได้ (ตลกดีไหม บ้าดีแท้) แต่ พอท่องไปท่องมา มันเกิดความสนใจอยากรู้คำแปล จากนั้นมาก็ศึกษาและปฏิบัติมาเรื่อย ๆ จากของจริง ไม่ใช่แค่อ่านตำรา ไปวัดไปศึกษาปฏิบัติ จนได้รู้ได้เห็นอะไรมากขึ้น (มากขึ้นเท่านั้นแต่ยังไงก็กิเลสเพียบ) เพราะงั้นผมเห็นว่า บางครั้งถ้าสิ่งนั้นมีธรรมะกำกับอยู่ด้วยก็น่าจะพอใช้ได้นะ อย่างน้อยก็เป็นสิ่งยึดเหนี่ยวไม่ให้คนทำชั่ว ระดับหนึ่ง แต่ผมว่านะก็มีพระสงฆ์ในสังคมที่คอยเรียนรู้ปฏิบัติเพื่อบรรลุธรรมอยู่ด้วยนะ อย่าลืมว่าศาสนาพุทธเรา มองทุกอย่างด้วยความเป็นจริงไม่หลอกตัวเอง ในความจริงของสัตว์โลกเรา คนมีกิเลสเยอะ น้อยคนนักที่จะเข้าหาวัดได้จริง ๆ และหาได้ถูกทางด้วย เรียกว่า ใครพร้อมก็เข้ามา ใครไม่พร้อมก็เอาธรรมมะ "ระดับชาวบ้าน" ไปใช้ก่อน เมื่อพร้อมค่อยว่ากันนะผมว่านะ จากคุณ : ดีวีดี (สุธี) - [ 16 มิ.ย. 47 15:16:47 ]

ความคิดเห็นที่ 8 ขอบคุณ ครับทุกท่าน... จากคุณ : nana - [ 17 มิ.ย. 47 22:11:24 A:169.210.1.66 X:210.120.128.117 ]